เมื่อคุณได้รับเงินเดือนมาแล้วลองแบ่งเงินเดือนสัก 20 – 50% เป็นเงินเก็บ ตามความเหมาะสม เช่น หากคุณยังไม่มีภาระผ่อนจ่าย ลองเก็บ 30% ของเงินเดือนเป็นเงินเก็บ ที่เหลือ 70% ถือเป็นค่าใช้จ่าย หากเดือนไหนได้โบนัส ก็เก็บอีก 30% ของโบนัสรวมเป็นเงินเก็บเช่นกัน หากคุณฝึกให้ตัวเองมีวินัยในการแบ่งเงินเดือนเป็นสองส่วน คือ แบ่งเก็บ และแบ่งจ่าย ก็ถือเป็นการเริ่มต้นการบริหารเงินที่ดี
ลด คือการลดสิ่งของที่ไม่สำคัญออก แต่บางทีก็ไม่จำเป็นต้องงดไปเลย เช่น ถ้าคุณติดขับรถไปห้าง เพื่อทานข้าวนอกบ้านทุกสุดสัปดาห์ ลองลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าที่จอด ค่าอาหาร เผลอ ๆ อาจจะมีค่าชอปปิงจิปาถะอีก แต่ถ้าจะให้ลุกขึ้นมาทำกับข้าวเองก็อาจจะไม่สะดวกนัก ลองลดจากการทานอาหารนอกบ้าน เป็นการสั่งอาหารเข้ามาทานที่บ้านแทน หาแอปฯหรือร้านที่มีโปรโมชั่น เพียงเท่านี้ เราก็ได้ของอร่อย ๆ มาทาน แบบไม่ต้องเสียเวลาแต่งตัวเลยด้วยซ้ำ
ส่วนวิธีนี้ถือเป็นมาตราการสุดท้าย คือ ต้องไม่จ่ายเพื่อซื้อบริการหรือสินค้านั้น ๆ แล้วจะมีของอะไรบ้างที่เราสามารถงดได้ กลุ่มแรกเลย คือ ของที่เรามีอยู่แล้ว เช่น เสื้อผ้าแบบเดิม ๆ อุปกรณ์เครื่องเขียน มือถือที่ยังทำงานได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หรือจะเป็นของชิ้นใหญ่ เช่น รถยนต์คันเก่งที่เราใช้มาแล้วหลายปี แต่ยังอยู่ในสภาพดีอยู่ หรือลองงดซื้อของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราสามารถหาของมาทดแทนได้ เช่น แทนที่จะซื้อกาแฟดื่ม ก็อาจจะชงกาแฟที่ทางออฟฟิศเตรียมไว้ให้แทน ของเหล่านี้ ถ้าเราสามารถงดที่จะซื้อใหม่ได้ ก็จะช่วยให้เรามีเงินเก็บมากขึ้น พอเรามีเงินเก็บมากขึ้น เราก็ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลทุกครั้งที่ใกล้สิ้นเดือน
หลายคนอาจยิ้มดีใจว่า สิ้นเดือนนี้จะมีเงินเหลือไว้ใช้เยอะแล้ว แต่อย่าชะล่าใจไป เพราะเหลือเงินเยอะ ดีกว่าใช้หมดทุกเดือน วิธีการเก็บที่ดีที่สุดคือเปิดบัญชีออมทรัพย์และโอนเงินเข้าบัญชีนั้นโดยตั้งปณิฐานว่าจะไม่แตะเงินในบัญชีนี้จนกว่าจะครบ 1 ปีหรือตามระยะเวลาที่เรากำหนดไว้ใครที่ใจอ่อนง่ายหรืออยากลองลุ้นโชคจะลองซื้อสลากออมสิน เพราะไม่กินทุน ได้ลุ้นโชค
